วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Briefing Pattaya Creative Youth Project at Pattaya City





To bear with unbearable sorrow
To run where the brave dare not go

"The Impossible Dream"from MAN OF LA MANCHA (1972) music by Mitch Leigh and lyrics by Joe Darion

Briefing Pattaya Creative Youth Project at Pattaya City





To bear with unbearable sorrow
To run where the brave dare not go

"The Impossible Dream"from MAN OF LA MANCHA (1972) music by Mitch Leigh and lyrics by Joe Darion

วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

เขียนคำนิยมให้เพื่อน "จักษณ์ จันทร"


จักษณ์ จันทร เพื่อนนักเขียน /ช่างภาพฝีมือโปร กำลังจะออกนิยายเล่มใหม่ ตั้งใจเขียนให้เพื่อน

"จักษณ์ จันทร" มากกว่า มิตรภาพและน้ำใจ

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

คุยสบายสไตล์ Tweetgirl by the Nation




ประโยชน์ของทวิตเตอร์จากมุมมองของผู้ใช้งานจริง

Tweetgirls ; at ThongLor Feb 28.2010 after talking!




ภาพหมู่พร้อมคุณสุทธิชัย หยุ่น และคุณพาที สารสิน เจ้าของสถานที่ (ดุ๋งเด้งได้) ทองหล่อ

Tweetgirls ; at ThongLor Feb 28.2010

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผู้ปฏิวัติโฉมหน้า 'เมียญี่ปุ่น' 'มิยูกิ ฮาโตะยามะ' (Miyuki Hatoyama )






* เจ้าของสมญา 'มาร์ธา สจ๊วต ญี่ปุ่น'

* ผู้แหกกฎเหล็กหญิงแม่บ้านอยู่เหย้าเฝ้าเรือน

* นักบริหารหญิงยุคใหม่ที่เปี่ยมพลังสร้างสรรค์

* ที่ใช้หลักจัดการโดยไม่จัดการ หรือ 'Life Composer'

มักกล่าวกันเสมอว่า 'เบื้องหลังความสำเร็จของบุรุษ มักจะมีผู้หญิงคนหนึ่ง (เป็นอย่างน้อย) ยืนอยู่เบื้องหลัง เสมอ' ในกรณีของชัยชนะของ 'ยูกิโอะ ฮาโตะยามะ' นายกรัฐมนตรีคนใหม่เอี่ยมอ่องของญี่ปุ่นก็เช่นกัน ไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่ยังมีอีกบุคคลอีกคนหนึ่งที่โดดเด่น ตกเป็นข่าวไม่เว้นแต่ละวัน นั่นก็คือ 'มิยูกิ ฮาโตะยามะ' (Miyuki Hatoyama ) สตรีศรีภรรยาหมายเลชหนึ่งของเขานั่นเอง

ด้วยสีสัน สไตล์การแต่งกายอันล้ำสมัย และพิถีพิถัน ยามปรากฎกายต่อสาธารณชน อีกทั้งยังเต็มเปี่ยงไปด้วยความสามารถ จึงทำให้ภาพลักษณ์ของเธอไม่แตกต่างไปจาก สตรีหมายเลขหนึ่งของผู้นำสหรัฐ 'มิเชล โอบาม่า' ซึ่งเป็น 'กุนซือตัวจริง' ของโอบาม่านั่นเอง

ผู้ปฏิวัติโฉมหน้า 'เมียญี่ปุ่น'

ในอดีต'ผู้หญิงญี่ปุ่น มักเคยถูกพูดย้ำๆ ซ้ำๆ กันมาว่า ถ้าจะมีเมียต้องเมียแบบญี่ปุ่น'เพราะมักเป็นแม่บ้านแม่เรือนคอยปรนนิบัติดูแลลูก สามี แต่ไม่ค่อยมีบทบาททางสังคมให้กับสามีมากนัก แต่ปัจจุบันเมียญี่ปุ่นได้เปลี่ยนไปแล้ว เธอได้เข้ามามีบทบาททำหน้าที่ใหม่ ในฐานะ 'นักออกแบบชีวิตของผู้นำ' ซึ่งไม่แน่อาจจะถึงขั้น 'ออกแบบประเทศ' เลยก็ได้ (จะเป็นไปได้ถึงขั้นนั้นหรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป)

มิยูกิ เป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่ถือกำเนิดขึ้นในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน แต่มาเติบโตในเมืองโกเบ ปัจจุบันอายุ 66 (มากกว่า ยูกิโอะถึง 4 ปี) เคยเป็นนักแสดงในคณะละครอยู่ที่ญี่ปุ่น ก่อนจะเดินทางไปอเมริกาในช่วงวัย 20 ที่นั่นเธอได้พบรักกับ ยูกิโอะ ฮาโตะยาม่า เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ในมหาลัยสแตนฟอร์ด

แบ็คกราวน์ชีวิตเธอนั้นน่าสนใจ เพราะนอกจาก เคยเป็นอดีตสมาชิกของคณะนักแสดงหญิงล้วน ผู้กล้าในการที่จะประกาศว่าตัวเองเป็น 'นักประพันธ์เพลงชีวิต' (Life composer) หลังจากสามีเข้าสู่วงการเมือง เธอยังเป็นเลือกเสื้อผ้า และ อาหาร การออกแบบตกแต่งภายในบ้าน ให้กับคนอื่นทั้งประเทศ ซึ่งรวมถึงสามีของเธอด้วย ด้วยการจัดรายการทีวี ประเภททอร์คโชว์ ที่มักพูดคุยตั้งแต่เรื่องการเมือง ศาสนา ไปจนถึง เรื่องการตกแต่งภายในบ้าน จนถึงเรื่องการทำอาหาร

แทบไม่เห็นบทบาทดั้งเดิมในอดีตของเธอ ในฐานะ 'แม่บ้านอยู่บ้านเลี้ยงลูก'อีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจ ว่าทำไมคะแนนที่สามีเธอได้รับ จึงล้นหลาม มิยูกิ ทำให้คิดถึงการร่วมกันหาเสียงของขบวนการ Woman for Obama ในการยึดตรึงแผนที่ ไล่เก็บคะแนนเหนือแมคเคนกันแบบรัฐต่อรัฐ

มิยูกิ มักจะพูดถึงตัวเองว่า เธอเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นอยู่ตลอดเวลา และยังเป็น 'ผู้นำแห่งแรงจูงใจ' (Inspirational Leadership) ในลักษณะเดียวกับที่ ริชาร์ด แบรนสันเป็น จึงไม่แปลกที่จะเห็นเธอสวมใส่กระโปรงที่ทำจากกระสอบกาแฟจนได้รับเสียงตอบรับฮือฮาจากสื่อมวลชนมาแล้ว

หากมองในมิตินักบริหาร ก็ถือว่าเธอ คือ นักสร้างความแตกต่าง นักคิดนอกกรอบ และยังเป็นผู้นำทางความคิดให้กับสามีโดยแท้ (ในเซนส์ฟากความรู้สึกที่ ยูกิโอะ ไม่มี)

พลังสื่อสาร มาร์ธา สจ๊วต ญี่ปุ่น

ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการทั้งภายในและนอกบ้าน และรู้จักการใช้พลังสื่อสารมวลชนได้เกิด 'พลังแห่งการสื่อสาร'จึงทำให้ ภรรยาผู้นำคนใหม่ของญี่ปุ่นคนนี้มีภาพลักษณ์ ผสมผสานเชิงบวกที่ เป็นทั้ง 'มาร์ธา สจ๊วต' เจ้าแม่ไลฟ์สไตล์คนดัง บวกกับ 'โอปราห์ วินฟรีย์' พิธีกรผิวสีผู้ทรงอิทธิพล ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้นำสหรัฐคนล่าสุดอย่าง โอบาม่า อันเนื่องมาจากความสนใจที่หลากหลายของเธอ ที่สามารถสร้างกระแสตอบรับได้เป็นอย่างดีจากคนญี่ปุ่นมาแล้ว

จึงไม่แปลก ที่ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงเก่งที่มีบทบาทและประสบความสำเร็จอีกคนหนึ่ง ซึ่งอาจเรียกเธออีกอย่างหนึ่งว่า มาร์ธา สจ๊วต แห่ง เกาะญี่ปุ่น ก็คงไม่เกินเลยไป

ดังนั้น มิยูกิ จึงนับเป็นผู้หญิงเก่งอีกคนหนึ่ง ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เพราะไม่เพียงแต่ เธอได้แหกกฎเหล็กของการเป็นผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน แล้ว ยังเป็นนักบริหารที่ใช้แนวทางในการบริหารจัดการแนวใหม่ ด้วยการจัดการโดยไม่จัดการ หรือเรียกอย่างหนึ่งว่าเป็น 'Life Composer' กับชีวิตคนญี่ปุ่นผ่านสื่ออีกด้วย!

'ครอบครัวอบอุ่น'
จุดขายภาพลักษณ์

นอกจากนี้ เธอยังคอยช่วยเหลือสามี ด้วยการเดินเคียงข้างแทบทุกครั้ง ในการปรากฎตัวเพื่อหาเสียง ด้วยบุคลิกภาพที่ไม่เหมือนใคร กับผมม้า และการแต่งกายล้ำสมัย พร้อมตอกย้ำภาพครอบครัวอบอุ่นที่สาธารณชนได้รับรู้จากปากของ ยูกิโอะ ที่มักจะชื่นชมภรรยาเสมอว่า 'ทุกครั้งที่เขากลับมาถึงบ้าน เขารู้สึกโปร่งโล่งสบายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเธอมีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ'

วาทกรรมนี้ นอกจากเป็นการสร้างจุดแข็งร่วมกันยังถือเป็นการวางกลยุทธ์ร่วมกันได้อย่างแยบยล เนื่องจาก เป็นวิธีการสื่อสารจากผู้หญิงถึงผู้หญิง จนถึงในครัวเรือน ทีช่วยลบจุดอ่อนและท่าทีที่แข็งกร้าวของ ยูกิโอะ ฮาโตยามะ ทำให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้น ตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ท่ามกลางภาวะกดดันจากประชาชน ในเรื่องการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ.

สุดยอดแม่ เทหมดหน้าตัก

นอกจาก ได้รับการสนับสนุนจาก 'เมียญี่ปุ่นปฏิวัติ' แล้ว นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นคนนี้ ยังมีแบ็คอัพแข็งแกร่งจากผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลอีกคนหนึ่งหรือมารดาบังเกิดเกล้าของ ซึ่งก็คือ 'ยาซุโกะ ฮาโตะยามะ' ที่คนญี่ปุ่นรู้จักดี จนได้รับสมญานามกันว่า 'เจ้าแม่' หรือ 'Godmother' ทายาทสาวของผู้ก่อตั้งและผลิตยางบริดสโตน ผู้มีศักดิ์เป็นตาของ ยูอิโอะนั่นเอง

ก่อนเข้าสู่ถนนการเมือง แม่ของยูอิโอะ ถือว่าเป็นผู้มีบทบาทอย่างสูงในการเข้าสู่วงการนี้ของเขา ส่วนหนึ่งมาจากยาซุโกะเป็นนายทุนหลักในการมอบมรดกจำนวนกว่าพันล้านเยน ในการก่อตั้งพรรค DPJ ขึ้นมาในปี 1996 เพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมการเมืองให้ลูกชายทั้งสอง ซึ่งรวมถึงน้องชายอีกคนหนึ่งของ ยูกิโอะ ที่มีชื่อว่า 'คูนิโอะ' ซึ่งภายหลังได้ลาออกจากพรรค DPJ ไปร่วมกับ พรรค LDP เพราะมองว่า DPJ มีความเป็นซ้ายมากเกินไป

ทั้งนี้ยูอิโอะ ถือเป็นทายาทรุ่น 4 ของตระกูลการเมืองเก่าแก่ที่ถูกขนานนามว่า เป็น 'เคนเนดี้แห่งญี่ปุ่น' และยังเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่เคยต่อสู้กับตระกูลของ 'ทาโร อาโซะ'คู่แข่งทางการเมือง จึงถือเป็นการต่อสู้กันของรุ่นหลาน หลังเคยต่อสู้กันมาในรุ่นปู่มาแล้ว

กล่าวได้ว่า เส้นทางสู่ความสำเร็จของเขานั้น ส่วนสำคัญเกิดจาก ปัจจัยการบริหารจัดการและแรงหนุนทั้งจากในบ้านและนอกบ้านไว้เป็นอย่างดี เพราะไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวที่มีทั้งแม่และเมีย เป็นผู้ประสานส่งพลังบวก การใช้สื่อสารมวลชน ประกอบกับ ความพร้อมทางด้านภูมิหลังของวงศ์ตระกูล ด้วยฐานรากอันแข็งแกร่งทั้งหมดนี้ จึงไม่ประหลาดใดที่เกิดปรากฎการณ์ 'Change' แบบถล่มทะลาย

********
คัมภีร์ส่งเสริมคะแนนเสียงฉบับ มิยูโกะ

ปัจจัยส่งเสริมคะแนนเสียง กับชัยชนะอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

1. Motivating Movement ของหลังบ้าน

ผู้ส่งอิทธิพลต่อคะแนนเสียง ถือเป็นการสร้างคะแนนเสียง (โดยเฉพาะในหมุ่ผู้หญิง โดยผ่านตัวเธอที่ลงตลาดไปบอกถึงผู้บริโภค) อีกทั้ง มิยูกิ เป็นคนที่มีความเป็นศิลปินจากแบ็คกราวน์นักแสดง และ มีครีเอทีฟสูงในการเลือกสรรคำพูดเพื่อชักจูงใจคน อาทิใช้คำว่า 'เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ฉันมักหยิบดวงอาทิตย์มาฉีกกิน เพื่อเพิ่มพลังให้ฉันทุกวัน'

2. Fairly tale story เรื่องเล่าพาฝันผสมไซ-ไฟ

คงไม่มีแม่บ้านคนใดไม่อยากฟังละคร และด้วยปัจจัยนี้ มิยูกิ จัดให้ด้วย เรื่องพาฝัน ไม่ว่าจะเป็นเคยไปดาวอังคารมาแล้ว กับมนุษย์ต่างดาว และที่สื่อมวลชนทั่วโลก ฮือฮามากที่สุดคือ ทอม ครู้ส ชาติที่แล้วเป็นคนญี่ปุ่น

และมีความสามารถในการเอ็นเตอร์เทนผู้คน มิยูกิ จึงสามารถเต้นท่า 'มูน วอล์คกอร์' ของ ไมเคิล แจ็คสัน ได้ทันใด เมื่อถูกคนร้องขอให้เต้น

3. Make him easier ปราบแมวอยู่หมัด

มิยูกิ ทำให้ยาสุโอะ มีความอ่อนโยนลง เพราะยูกิโอะค่อนข้างเป็นคนหัวแข็ง ตัดสินใจแน่วแน่ จนเกือบเป็น คนดุแฝงความรั้นดื้อรั้น เธอจึงเรียกเขาใหม่ว่า 'เอเลี่ยน' หรือ 'มนุษย์ต่างดาว' ด้วยความที่เขาเป็นคนตาโปน จะเห็นได้ว่า มิยูกิ มีความเป็นคนจินตนาการสูงเสมอ และยังเป็นหลังบ้านที่มาแปลกเพราะเธอเป็นคนที่ชอบดูหนังแอคชั่นเลือดสาด

4. Superhero Strategies

คัมภีร์ ไอ้มดแดง

ทันที่ ยูกิโอะ เข้ารับตำแหน่ง เขาประกาศนโยบายทันที ที่ๆ เคยหาเสียงไว้

จึงไม่แปลกว่า โพลล์นิยมมาตรึมเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพยายามขจัดนักการเมืองตามสายตระกูล ซึ่งมีผลให้การเมืองอ่อนแอ หรือความพยายามในการ รวมเอเชียให้เหมือนกับอียู รวมถึงเรื่องการใช้อัตราเงินเดียวกันอีกด้วย และที่สำคัญคือ 'ภราดรภาพ' และแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยทันที โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับอเมริกาที่มี มิยูกิ เป็นตัวรอคอยสอดประสาน เทคนิคหลังบ้านสนทนาอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

5. Life composer Policy เมื่อบทประพันธ์เพลงชีวิตบรรเลง

มิยูกิ เริ่มใช้คำจำกัดความว่าเธอคือ 'Life Composer' เมื่อสามีเริ่มเข้าสู่การเมือง และถือเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเธอในฐานะภรรยาด้วย เพราะช่างเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์สามีนักการเมืองเป็นอย่างยิ่งในทุกเรื่อง ด้วยการสื่อสาร หลายช่องทาง ทั้งเขียนหนังสือ จัดรายการทีวี ฯลฯ และไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ!

CommuCampAfterEnjoyEating



การกินคือภารกิจสำคัญ

CommuCamp 2 Meeting

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

The Beginning Of Lanna Wellness on New year 2010

From this trip; i need my mom and All of you to get experience in Lanna ; ONCE in your life;}


Prartana Rattanasit ; Prartanar@gmail.com

***********************************************************************



CM trip ; Dancing crazy; BTW Modern and Stone Age -- เต้นระบำข้ามยุค

ปรารถนา รัตนะ*

*นามปากกาของ ปรารถนา รัตนะสิทธิ์





















(บรรยายภาพ -------พุ่งตรงตัดแผนที่ภาคกลาง)

Welcome 2 Stone Age
หลังผ่านสะพานแห่งความหลัง (สะพานเดชาฯ เมืองนครสวรรค์) ที่เป็นฉากหลังในเรื่องสั้นหลายเรื่อง ตัวละครเหล่านั้นยัง “ชัดลึก” ในความทรงจำอันงดงาม
“ให้ตายเถอะ ฉันจำบทสนทนาได้”
ฉันพยายามชวนชาวคณะ 6 ชีวิต เข้าเลี้ยวเพื่อกินตลาดโต้รุ่ง ตรงสี่แยกกลางตลาดนครสวรรค์ ที่เคยมีอดีต “วิวาทกรรม” หล่นเรื่อยราด เสียดายรถติดไฟแดงอยู่เลนซ้ายสุด ทำให้เลี้ยวขวาไม่ได้ และไม่มีใครเข้าใจเหตุผลว่า “ทำไมต้องกินที่นี่” เลยต้องแขวนท้องไปกินที่ศูนย์ขายของฝากนอกเมือง
ก่อนเราเราหยุดพักอีกครั้งที่ตลาดโต้รุ่งเล็กๆ ในจังหวัดตาก “เห็นตลาดเห็นชีวิตจริง”
หลังจากนั้นบุกตะลุยความมืดและพันโค้งเมืองลำปาง ตัดเขาสู่เชียงใหม่อย่างน่ากลัวที่สุด และฉันตั้งใจแล้วว่า จะไม่นั่งหน้าเช่นนี้อีกแล้ว เพราะเป็นครั้งแรกที่นั่งรถยนต์ขับยาวสู่เชียงใหม่ในยาวค่ำคืนดึกดื่น หลับก็ไม่ได้ แถมทางมืดเวียนเขา โอ้ มาย ก็อด (เป็นการทรมานแกนสมองและร่างกายที่ไม่สมเหตุสมผล)
สุดท้ายกว่าจะถึงดอยสะเก็ดเกือบตี 1 และเราหาบ้านรุ่นน้องไม่เจออีกต่างหาก วิบากกรรมครบถ้วน
แต่ฉันก็ยังมีปัญญา เข้าเมืองเพื่อซื้ออะไรบางอย่างไปดื่มกับเจ้าของบ้านรุ่นน้องมหาลัย น้องศักดิ์ นักเรียนทุนจากญี่ปุ่น ผู้นิ่งสงบ น่าสนทนาเป็นอย่างยิ่ง เราสองรอคอยเวลาเช่นนี้เสมอ
ขณะที่ทุกคนเข้านอนด้วยความอ่อนล้า ฉันกลับฉายไฟเข้าป่า และเพลิดเพลินกับช่วงเวลาหาฟืน
ก่อน ศักดิ์ จะมาร่วมวงหาฟืนก่อไฟ ยิ่งดึกยิ่งหนาว ฉันพูดแล้วมีควันออกจากปากและจมูก รู้สึกตกใจ เพราะฉันเป็นคนไม่ชอบอากาศหนาวเลย ชอบอากาศพอดี ไม่ร้อนเกินไม่หนาวไปมากกว่า สนทนาเราคุยกันเพลิน จนไก่ขัน พอดูนาฬิกา อ้าว 6 โมงเช้าแล้ว
6 โมงเช้าจึงเริ่มต้นพบจุมพิตหมอนและที่นอน

Panda Marketing ;
ยามเช้าหลานรักพยายามปลุกฉันตอน 9 โมงบอกว่า
“จะไปดูหลินปิง น้าเอ้”
“ไปเลย น้าเอ้จะนอน”
ฉันตัดบทไม่สนใจผู้ใด แต่ชาวคณะไม่ยอม บอกให้ไปหลับบนรถ (เออ ก็ได้อะ กูง่วงโคตร แต่จะหลับตอนไหนอะ)
สุดท้ายชาวคณะต้องการเนวิฯ อย่างดิฉัน ก็เลยลุกขึ้นหอบสังขารไปวางบนเบาะหน้า โดยอาบน้ำหรือเปล่า ไม่แน่ใจ (ลืมอะ) และพอได้นั่งเก้าอี้มือไม้ก็กางแผนที่ออโตเมติค
ฝันร้ายคืบคลานเข้ามา เมื่อเราติดหนึบสี่แยกบนซุปเปอร์ฯ เลี้ยวเข้าถนนห้วยแก้ว ยาวนานถึง 3 ไฟแดง ซึ่งปกติสำหรับแยกรัชดา-ลาดพร้าว แต่สำหรับเชียงใหม่ มันนานไปนิด
และเมื่อเลี้ยวเข้าถนนเราก็รู้ว่า ไม่ใช่ฝันร้ายของชาวคณะเท่านั้น แต่ ความฝันอันเลือนรางของหลานในการดู” หลินปิง”













สุดท้ายหลานสุดรักต้องไปถ่ายกับหุ่นแพนด้า เพราะคิวบ่ายเต็มแล้ว ได้แต่บอกหลานเดี๋ยวมาใหม่ไม่เป็นไร
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “อย่าไปไหนยามเทศกาล เพราะถึงไปก็เท่ากับไม่ได้ไป” Sad!

สวรรค์แห่งการ Synergy
จากสวนสัตว์ จึงขึ้นไปดอยสุเทพ แบบง่วงๆ แต่ไม่ยอมใช้กระเช้า จึงไปเดินขึ้นเดินลงคนเดียว ปล่อยชาวคณะให้ขึ้นกระเช้ากัน
ลงจากดอยสุเทพ พวกเราต่างวัยแต่น่วมและงอมจากการเดินทาง แม้มีเพื่อนที่เพิ่งถึงเชียงใหม่ ชวนออกมาในเมือง จึงไม่ไหวจริงๆ เรารีบนอนเพื่อรอไปซ่อมบำรุงร่างกายที่ น้ำพุร้อนสันกำแพง
โปรแกรม น้ำพุสันกำแพง เป็นที่รอคอยของแม่และป้า แต่ฉันไปน้ำพุร้อนสันกำแพง อย่างเฉยๆ เพราะเฉยๆ กับหลายๆ แห่ง แต่พอไปถึงกลับได้เห็นโมเดลการซินเนอร์ยี่ ของสหกรณ์การเกษตรฯ และการท่องเที่ยวฯอย่างน่าสนใจ
ในวันนั้น ฉันจึงเดินดูบริเวณโดยรอบ และเศร้าแสนลืมเอากล้องไปด้วย แต่ต้องยอมรับว่า นึกไม่ถึงว่า ถนนเปลี่ยว แล่นมาคันเดียว จะพาเรามาพบกับคลื่นมนุษย์มหาศาลที่จับจองพื้นที่กางเต็นท์กันเต็มพื้นที่
แม่เข้านวดแบบทั้งตัว และหลังแช่อาบในห้องส่วนตัว ฉันแค่แช่เท้า และเดินสำรวจเรือนเพาะชำ โรงแยกขยะในเขตไม่น่าดูรอบๆ คือความแห้งแล้ง บอกได้ว่า การที่มีต้นไม้สดสวยๆ น้องๆ ดอยตุง คงมีเฉพาะเทศกาล และต้องดูแลกันอย่างเต็มที่
โดยมีคำยืนยันจาก ศักดิ์ เขาเป็นนักเขียนเหมือนฉัน และเรายังครอบครองบทบาทกันอีกจำนวนหนึ่ง บทบาทนึงของศักดิ์คือนักวิจัยอิสระ หลังเข้านวดตัว 1 ชม. เขาจึงสรุปงานวิจัยให้ฟังว่า ปกติแล้ว จะไม่ได้มีคนแบบนี้ และไม่มีต้นไม้สวยงามขนาดนี้ และเจ้าหน้าที่ผู้นวดบอกว่าเพียงได้ 90 บาทจากราคาค่านวดชม.ละ 140 บาท
มันคงน้อยไปสำหรับพวกเขา แต่ฉันว่าโอเคนะ การจัดการบริหารสิ่งเหล่านี้ในขุนเขาแสนไกล คงต้องยอมรับการ “นวดกินแบ่ง”
ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน ต้องมีเรา จึงมีกันและกัน
ขอบคุณสันกำแพงน้ำพุร้อนมากๆ เด็ดๆๆๆ



ควันไฟ บอกว่า ที่นี่มีมนุษย์

เย็นวันนั้น เรากลับจากน้ำพุสันกำแพง ระยะทางไกลประมาณ 20 กว่ากิโล ทำให้ได้พบกาด (ตลาด) เล็กๆ น่ารักหลายกาดอยู่ และฉันได้อาหารเหนือแท้ๆ คือ แกงฮังเล ที่คล้ายมัสมั่น ภาคกลาง แต่เหมือนใส่ขิงด้วย
รุ่งเช้าศักดิ์ เจ้าของบ้าน ไปเลื่อยไผ่ข้าวหลาม มาเตรียมทำข้าวหลามให้กิน หลังจากเราเดินชมไผ่ด้วยกัน ฉันขอหน่อไผ่มาปลูก แต่ด้วยความที่ไม่ใช่หน้าฝน ไม่ค่อยมีหน่อแทงยอด
ก่อนอำลาเชียงใหม่ เราล้อมวงเผาข้าวหลาม บรรยากาศการล้อมวงย่างข้าวหลามให้ความรู้สึกดิบๆ เหมือนยุคแรกๆ ของมนุษย์ที่เพิ่งค้นพบไฟ และไฟจึงเป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิต

สีสัน ย่ำ 4 วัด 4 พระธาตุ
ในฐานะอดีตนักศึกษาโบราณคดี และเลือกโท ประวัติศาสตร์ศิลป์ สายตาของเราๆ (ฉันกับรุ่นน้อง) จึงมองสถาปัตยกรรม โบราณสถานอย่างคุ้นเคย และสมัยเรียนไม่เคยมาฟิลด์ทริปไกลๆ ถึงเชียงใหม่ ส่วนใหญ่มาได้แค่ อยุธยา และไกลสุดครั้งหนึ่งที่พนมรุ้ง (แต่ตกรถ)
การได้ไล่แวะวัดและพระธาตุต่างๆ โดยมีน้องศักดิ์ ที่จบ ประวัติศาสตร์ศิลป์โดยตรง และเป็นวิชาการอิสระของ กรมศิลป์ ยิ่งทำให้การเยือน วัดในเชียงใหม่มีเสน่ห์ยิ่ง หลังขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ฯ วัดเจ็ดยอดเป็นที่หมายอันคลั่ง Crazed เหลือหลายกับลายปูนปั้นที่เป็นที่สุดของที่สุด x
หรือวัดสวนดอกก็มีพระธาตุงามๆ หน้าบันวิหารสุดวิจิตร วันเกตุการามที่เต็มไปด้วยหมา เพราะเป็นพระธาตุสำหรับคนปีจอ มีหมาทองตัวเบ่อเริ่ม เรายังพลาดวัดไทยใหญ่ เพราะเวลาไม่อำนวย เดี๋ยวคงได้ไปรีวิวกันอีกรอบ เพราะแม่ก็ติดใจ น้ำพุสันกำแพงเช่นกัน

ทริปเชียงใหม่ครั้งนี้ ฉันปิดสวิตซ์โลกออนไลน์ แต่ใจหวนคิดถึงเสมอ และรอวันกลับมา อยู่กับแม่ฉันต้องการให้เวลาทั้งหมดกับแม่
การได้กอดคอแม่ถ่ายรูปที่วัดเกตุการาม (ของคนปีจอ) ด้วยกัน ถือเป็นสุขสุดยอดและเป็นมงคลชีวิตที่สุดแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

Green Day Live in Bangkok jan 12;2010


















สุดยอดคอนเสิร์ท เดือนแรกของปี 2010


วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

when i am in Laos ; ไปลาวเถิด แล้วคุณจะรัก



เมืองท่าพะบาด แขวง บอลิคำไซ
หมู่บ้านวัฒนธรรมในความทรงจำ

Laos in my momories ; love Laos;}















ขนมไทยตามไปให้เรากิน (อาหารเช้า)



















ลาวกับ 3 g เขามีกันตั้งนานแล้วพี่ไทยจ๋า




























วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

บนดาวสีทอง หนังสือของศักดิ์ รุ่นน้องที่ศิลปากร และทำงานร่วมกันในหลายโปรเจ็คท์


































“บนดาวสีทอง” พเนจรร่อนใจในเวียดนาม หนังสือใหม่ จากนักเขียนรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดส์ พ.ศ. 2549 พบสารคดีท่องเที่ยวเรียลลิสติค เปี่ยมอารมณ์ศิลปิน และกลิ่นไอความรักแสนรัญจวน



























ประวัตินักเขียน

ศิริศักดิ์ อภิศักดิ์มนตรี
เกิดที่ จังหวัด นครศรีธรรมราช

จบปริญญาตรี จาก คณะโบราณคดี (ประวัติศาสตร์ศิลป์) มหาวิทยาลัยศิลปากร
จบปริญญาโท จิตวิทยา จาก มหาวิทยาลัย โชกิ เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น (นักเรียนทุน)
ปัจจุบันใช้ชีวิตเป็น อาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย อยู่ที่ ดอยสะเก็ด เชียงใหม่
พร้อมตามฝันด้วยการทำร้านและสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อบุปผาชน
ทดลองการเกษตรพอเพียง และทำลองสเตย์




สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อนักเขียนโดยตรงที่ โทร. 080-502-7342
(ศักดิ์เลื่อยไผ่เพื่อไปทำข้าวหลาม ณ 31 ธค 52 วันสุขยุคหิน ณ ดอยสะเก็ด ชม.)